Osaka-BKK Sat 19 Nov 2016 (day 9/10)

นั่ง Shinkansen จาก Kyoto ไป Osaka เรา check out ออกจากบ้านเช่า ประมาณ 0900 และเดินลากกระเป๋าไป ที่สถานี Kyoto Station
ต้องนั่งรถไฟJR bullet train สักทีเพื่อเป็นประสบการณ์ความเร็วถึงที่หมายเร็วทันใจ
จ่ายคนละ 1420 yen = 480 บาท (1420x0.338)
ระยะทางประมาณ 40 กม ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ออกจาก Kyoto ประมาณ 0915
ถึงสถานี Shin-Osaka ประมาณ 0930

ขนมจีบซาลาเปา ยี่ห้อ 551 Horai มีคนบอกว่าอร่อยมาก ต้องชิมให้ได้ เลยจัดมาชุดใหญ่ กินระหว่างรอรถ Shinkansen ออกจากสถานี ส่วนข้าวหน้าแกงกะหรี ได้กินอีกครั้งให้หายอยาก หลังจาก Shopping ที่ Osaka เสร็จเรียบร้อย ก่อนไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้กับ counter 8 ชิ้น ราคา 4500 yen (x 0.338 = 1,521 บาท) เค้าปิด 2 ทุ่ม ต้องมารับคืนให้ทันเวลา

Locker ที่สถานี Shin-Osaka ใกล้ๆ กับ counter กระเป๋าก็มีแบบหยอดเหรียญและมีจำนวนมาก มีหลายราคาแล้วแต่ขนาดกระเป๋า 300, 500 700 yen แต่ต้องมีเหรียญหยอดให้พอดี เพราะ locker ไม่ทอนเหรียญ คราวหน้าต้องเตรียมเหรียญเอาไว้ล่วงหน้าให้พอดี จะได้ไม่ต้องรีบมาก

ใกล้ๆ กัน ก็มี locker แบบหยอดเหรียญให้ฝากได้ แต่ต้องมีเหรียญพอดี ก็สะดวกเช่นกัน ฝากกระเป๋าเรียบร้อย ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปที่ สถานี Namba, Shinsaibashi

ซื้อของได้เรียบร้อยทุกคน
1กระเป๋า Anello  สีดำและแบบ 3 สี ใบละ 3456 yen (x0.338= 1168 บาท)
2 เป้สะพายหลังสีดำ ใบเล็ก 3855 yen (x0.338=1303 บาท)
3 รองเท้า Onitsuka 7600 yen
(×0.338=2568 บาท)
4 นาฬิกา G-Shock 18000 (x0.338=6084 บาท)
5 ร่ม
6 ขนม
เดินจนได้ของครบเรียบร้อย





ก็มุ่งหน้ากลับ สถานี Shin-Osaka เพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ counter
และจะต้องเปิดกระเป๋าเอาของที่ซื้อมาใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย ซึ่งแถวๆ หน้า locker มีที่นั่งจัดกระเป๋าแบบสบายๆ คนไม่เยอะ
จัดกระเป๋าเสร็จก็เดินทางด้วย subway จาก shin-osaka กลับไป Namba Station อีกครั้ง
และต่อด้วย airport express
คนละ 1,000 yen ตรงไปสนามบิน รถ subway โล่งได้นั่งทุกคน

ชัยได้ทำการ check in แล้ว พอมาถึงสนามบิน นิดต้องแยกไปคนเดียว เพราะบินการบินไทย พวกเราบิน JAL เลยต้องแยกกัน check in ไปรอขึ้นเครื่องกันคนละทาง ก่อนเดินเข้าเครื่องตรวจผ่าน Immigration เกือบลืมเอา swiss knife ออกจากกระเป๋า พอดีนิดยังไม่ได้ check in กระเป๋า ชัยเลยช่วยวิ่งไปฝากให้ทันเวลา มิฉะนั้นต้องทิ้งลงกล่องใสๆที่ จนท วางเอาไว้ สำหรับคนที่พกมาในกระเป๋าต้องทิ้งลงกล่องนี้

ผ่าน Immigration เรียบร้อย ก็รีบเดินเข้าไปซื้อขนมข้างใน คนไทยเข้าแถวซื้อขนมแถวยาวมาก แต่ก็ไม่ช้า ร้านค้าเตรียมคนคิดเงินไว้หลายคน รอไม่นานอย่างที่คิด ร้านขยายเวลาปิดร้านเป็นประมาณเที่ยงคืน เมื่อ 2 ปี ที่แล้วปิดเร็วกว่านี้น่าจะประมาณ 4 ทุ่ม

ทุกคนซื้อขนมเรียบร้อย เก็บใส่ถุงผูก เขียนชื่อเรียบร้อย ก็นั่ง Shuttle train ไปยัง gate ที่ 31 นั่งรอเครื่องออก
นั่งพักผ่อน เข้าห้องน้ำสบายๆ ไม่นานก็ขึ้นเครื่องเรียบร้อย
ได้หลับนิดหน่อยตอนเครื่องบินจะออก และตื่นขึ้นมาดู Magazine ซื้อของบนเครื่อง 
เนื่องจากไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเอง เลยสั่งซื้อ SK II Essence 250 ml ราคา 19600 yen (x 0.338=6625 บาท)
ได้หลับอีกนิดหน่อย ก็ตื่นมากินอาหารที่ไม่อร่อยเลย ตอนตี 3 ครึ่ง (เวลาตามญี่ปุ่น)
เครื่องบินถึง กท โดยสวัสดิภาพ ก่อนเวลาครึ่ง ชม.คือ 04.30 น. ของวันที่ 20 Nov 2016 (day 10/10) และง่วงมาก

happy time happy trips 

___________________________________




Kyoto 2, Fri 18 Nov 2016 (day 8/10)

The Golden Pavillion or Kinkaku หรือ วัดทอง, Arashiyama,  Bamboo Grove, Tenruji Temple (World Heritage Site)
Kinkaku (คินคะคุจิ) หรือ The Golden Pavillion (วัดทอง) ชื่อเดิมคือ Rokuon-ji Temple ออกจากที่พักประมาณ 0900 น. ขึ้นรถ bus ฝั่งตรงข้าม Aeon เบอร์ 205 ประมาณ 09.17 น. ซื้อตั๋ว one day pass คนละ 500 yen ต้องใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 1 ชม
ขึ้นรถได้ที่นั่ง เลยนั่งหลับกันเกือบทุกคน ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ดูแผนที่ผิดหน้า คิดว่าถึงวัดแล้ว รีบลงก่อน เลยต้องยืนคอยรถอีกครั้ง ไม่ถึง 10 นาทีรถ 205 ก็มารถว่างๆ และได้นั่งทุกคน เดินทางถึงวัดประมาณ 10.30 น. เดินชมวัดเสร็จประมาณ 11.50 น ต้องรีบเดินจะได้มีเวลาไปต่อ
Kinkakuji (วัดคินคะคุจิ) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่าวัดทอง เนื่องจากที่วัดนี้จะมีอาคารหลักเป็นสีทองเกือบทั้งหลังตั้งโดดเด่นอยู่กลางน้ำ วัดนี้แต่เดิมสร้างเพื่อใช้เป็นบ้านพักของท่านโชกุนอาชิกาก้า โยชิมิสุ(Ashikaga Yoshimitsu) และท่านมีความตั้งใจยกบ้านพักแห่งนี้ให้เป็นวัดนิกายเซนภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิต อาคารเดิมของวัดนั้นถูกไฟไหม้หลายต่อหลายครั้งในอดีต รวมถึงในช่วงสงครามโอนิน (Onin ) ในปี 1950 เกิดสงครามกลางเมืองที่ได้ทำลายสถานที่สำคัญๆของเกียวโตไปหลายแห่งรวมถึงวัดแห่งนี้ด้วย และได้มีการสร้างวัดนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1955 ซึ่งอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้



เดินทางต่อไปที่ Arashiyama (อาราชิยาม่า) ขึ้นรถประจำทางเบอร์ 59 หน้า ประตูทางออก Kinkaku นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงและต้องต่อรถอีกสายคือเบอร์ 11 เราลงเร็วไปหนึ่งป้าย แต่ได้คุณป้าคนญี่ปุ่นมาช่วยบอกว่าต้องนั่งต่อไปอีก 1 ป้ายและนั่งไปอีกประมาณ 10 นาที ถึง Arashiyama ประมาณบ่าย 2 ร้านอาหารมีคนเข้าคิวยาวแทบทุกร้าน พวกเรารอคิวกินร้านอุด้ง โชคดีรอไม่นาน และอร่อยมาก
เดินชมเมือง Arashiyama (อาราชิยาม่า) ข้ามสะพานไปอีกฝั่ง มองฝั่งตรงข้ามก็เห็นวิวเมืองสวยดี มีใบไม้เปลี่ยนสี มีคนไปพายเรือเล่นในลำธารน้ำ เดินกลับมาฝั่งเดิม
ด้านหลังเห็นไกลๆ นั้นเป็นร้านกาแฟขายดี % Arabrica เดินเที่ยวเสร็จจะไปนั่งพักที่นั่น

Togetsukyo Bridge (สะพานโทเง็ตสึเคียว) หรือนิยมเรียกว่า “Moon Crossing Bridge” เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ Arashiyama ถูกสร้างขึ้นในสมัยเฮอันและมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่เรื่อยๆ สะพานนี้มีความสวยงามอย่างมากเพราะด้านหลังนั้นเป็นภูเขาสูงใหญ่ และด้านล่างเป็นแม่น้ำที่ทั้งสองฝั่ง ฝั่งตะวันตกของสะพานแม่น้ำมีชื่อเรียกว่า Hozu river และฝั่งตะวันออกของสะพานแม่น้ำมีชื่อเรียกว่า Katsura River


ร้านกาแฟ % Arabica ไปนั่งพักกินกาแฟร้าน % ร้านเล็กมาก ในร้านไม่มีที่ให้นั่ง มีคนช่วยกันทำกาแฟกัน 4 คน เป็นเด็กหนุ่มญี่ปุ่น 3 คนและผู้หญิงฝรั่ง 1 คน มีคนยืนต่อกันแถวยาว เป็นกาแฟจาก Brazil หอมนุ่มลิ้นดี ได้กาแฟก็มานั่งกินรอบๆ ร้าน นั่งดูวิวสะพาน ลำธารน้ำ และต้นไม้เปลี่ยนสี อากาศเย็นเจี๊ยบดี

Bamboo grove เดินมาจาก Arashiyama ไปตามทางเรื่อยๆ จนถึง Bamboo grove เป็นป่าไผ่ และเค้าปลูกไว้ข้างทางเดิน ทั้งสองฝั่ง เป็นทางยาวประมาณ 500 เมตร เป็นไผ่พันธ์สูงมาก ลำต้นใหญ่ สีเขียวเข้มดูสวย เมื่อเดินสุดป่าไฝ่ ก็จะถึง Tenryu-ji Temple ต้องซื้อตั๋วเข้าชม





Tenryu-ji Temple (วัดเทนริวจิ) World Heritage Siteเป็นวัดที่มีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของวัดในเกียวโต และยังเป็นหนึ่งใน 5 วัด มรดกโลกที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเกียวโตก็ว่าได้ Tenryu-ji Temple เป็นวัดในศาสนาเซน และเป็นศูนย์กลางของลัทธิรินไซ การจัดสวน หรือแม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในวัด ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเซนทั้งสิ้น ภายในวัดจึงมีความสวยงามแฝงไปด้วยความสงบแบบเซน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต

สาวๆ ชาวญี่ปุ่นใส่ชุดประจำชาติมาเดินเล่น น่ารักจัง

คนไทยเราต้องใส่เสื้อหนาๆ อุ่นๆ เพราะหนาวจิง



ขึ้นรถประจำทางกลับเข้าเมือง Kyoto ใช้เวลาประมาณ 45 นาที รถแน่นมาก ได้นั่งหลับ 3 คน ยืนหลับอีก 3 คน

เดินซื้อของ และรองเท้า Adidas และ Onisuga ซึ่งก็ยังไม่ได้ แต่ได้ลูกพลับ
4 ลูกเล็ก 399 yen
2 ลูกใหญ่ 499 yen
Cheese Brie 1 ชื้น 477 yen

อุ๊ซื้อเสื้อหนาวได้ที่ H&M อีกส่วนไปที่ร้านขายยา ซื้อเครื่องอางค์ ยาน้ำทาแก้ปวด 2 ขวด ขวดละ 2,220 yen แปรงสีฟัน 3 อัน รวม 615 yen ขนม kitkat ขนมลูกองุ่น ซื้อถึง 5000 yen ไม่ต้องเสียภาษี
ซื้อเสร็จก็ไปกินอาหาร หิวๆ

กินเสร็จแล้วอยากจะเดินต่อก็ไม่ได้ ร้านเริ่มปิด 3 ทุ่ม 4 ทุ่มบ้าง
ก็เลยไปยืนรอรถประจำทาง เพื่อกลับที่พัก แต่รถสายนี้ไม่ได้ผ่านถนนหน้า Aeon ไปลงถนนหลังที่พัก แต่ก็เดินไม่ไกลมากนัก

คืนนี้ต้องเตรียมเก็บของใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ต้อง check out เดินทางเข้า Osaka

มีต่อ day 9/10 ..........
Kyoto-Osaka-BKK




Kyoto 1, Thur 17 Nov 2016 (day 7/10)

 Kiyomizu วัดน้ำใส, Fushimi Inari Taisha ศาลเจ้าฟุชิมิ, Kyoto Tower
วันนี้เดินทางด้วยรถประจำทาง ไป Kiyomizu วัดน้ำใส



17 Nov 2016 Kiyomizu วัดคิโยะมิซุ (ญี่ปุ่น: 清水寺 คิโยะมิซุ-เดะระ , วัดน้ำใส ) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของ Kyoto ประวัติของวัดย้อนหลังไปได้ถึงปี พ.ศ. 1341 แต่อาคารต่างๆที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2176 ชื่อของวัดซึ่งมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ มีที่มาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลงมาบริเวณวัด วัด Kiyomizu ได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Sites) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 อาคารหลักของวัด Kiyomizu เป็นที่รู้จักจากระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา 




Otowa no taki (น้ำตกโอตะวะ) อยู่ด้านล่างของของศาลาวัดน้ำใส เป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ ผู้มาเยี่ยมชมวัดมักจะมาดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ด้วยถ้วยโลหะ ด้วยความเชื่อว่าสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และยังมีความหมายถึงสุขภาพ ความรัก และความสำเร็จในการศึกษา 

Sai-mon Gate (ประตูไซมอน) เป็นประตูฝั่งทิศตะวันตก ซุ้มประตูที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1631
ต้องลองชิมขนมที่ขายตามข้างทางเดิน อร่อยดี

Fushimi Inari Taisha (ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ ไทฉะ) หรือ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต และมี่ชื่อเสียงในเรื่องสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจ คือ เสาโทริอิสีแดงส้ม นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ต้น ที่ตั้งเรียงรายติด ๆ กัน จนกลายเป็นอุโมงค์เสาโทริอิที่ยาวถึง 4 กิโลเมตร เป็นสัญลักษณ์แทนประตูเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
เสาโทริอิ (Torii) เป็นสัญลักษณ์แทนประตูเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาชินโต ดังนั้น ที่ด้านหน้าศาลเจ้าชินโตทุกแห่งในญี่ปุ่นจึงต้องมีเสาโทริอิตั้งเอาไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกแก่ผู้ที่มาว่า จากนี้ไปจะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแล้ว
 Kyoto Tower เมื่อคุณเดินทางถึง Kyoto ที่สถานีชินคังเซนและออกไปยังทางออก Karasuma Central ก็จะเห็นหอคอยที่มีความสูงที่สุดในเมือง Kyoto ด้วยความสูง 131 เมตร ดาดฟ้าที่ความสูง 100 เมตร มันถูกสร้างขึ้นในปี 1964
มื้อค่ำวันนี้กินที่ร้านใต้สถานนี Kyoto

มีต่อ day 8/10  ..........
Kyoto วันที่ 2